[5SOS] Muke - I Heard Goodbye - [5SOS] Muke - I Heard Goodbye นิยาย [5SOS] Muke - I Heard Goodbye : Dek-D.com - Writer

    [5SOS] Muke - I Heard Goodbye

    Luke Hemmings & Michael Clifford | *ฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย y หรือชายรักชายนะคะ

    ผู้เข้าชมรวม

    287

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    287

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    4
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 มี.ค. 58 / 17:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    สวัสดีค่าา
    วันนี้เอาช็อตฟิคที่แต่งเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมาฝาก555555555
    เป็นแฟนฟิคของวง 5 Seconds of Summer เนอะ คู่ Muke (Luke Hemmings+ Michael Clifford)ค่ะ
    เป็นฟิคที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง I Heard Goodbye ของ Dan+Shay
    ซึ่งเพราะมากกก ถ้าไม่ติดข้องอะไรก็อยากให้เปิดเพลงนี้ฟังไปด้วยตอนอ่านจะแหล่มมากเลย
    ซึ่งไรเตอร์ก็เพิ่งจะเคยแต่งฟิคของวงนี้เป็นเรื่องแรก
    ยังไงก็ขอโทษล่วงหน้านะคะ หากทุกคนที่เข้ามาอ่านคิดว่าตัวละครมันผิดคาแรคเตอร์
    หรือหากว่าอ่านแล้วไม่ได้อรรถรสเพราะภาษาไม่ถูกใจยังไงนี่ก็ต้องขอโทษอีกรอบจริงๆค่ะ

    เรื่องนี้เราให้ลุคเป็นเมะ และไมเคิลน้อยๆเป็นเคะค่ะ
    เรื่องนี้ใสใสเนอะ เรททั่วไปเลย สั้นสั้นด้วย อ่านไวจบไวดีว่าไหม55555555

    ก็สำหรับคนที่ไม่สะดวกเม้นท์ในนี้ ใส่แฮชแท็ค #IHeardGoodbye ตอนเวิ่นให้ด้วยแล้วกันนะคะ
    สัญญาว่าจะไปตามอ่านทวิตของทุกคนเลยเนอะ
    ส่วนถ้าอยากติดต่อ อยากชม อยากด่า(?)อะไรเราก็ตามแอค @katen_im ไปได้เลยค่ะ 
    ขอบคุณที่้เข้ามาอ่านนะคะ :D
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ








                  ผมลืมตาขึ้นมาบนเตียงนอนในเช้าวันจันทร์ น้ำหนักที่กดทับลงมาบนต้นแขนข้างขวาทำเอาปลายนิ้วทั้งห้าชาจนไร้ความรู้สึก ผมยกมือข้างที่เป็นอิสระขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะขยับพลิกตัวให้ตัวเองนอนตะแคงข้าง ใบหน้าของเจ้าของน้ำหนักที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆกายจึงแนบชิดเข้ากับแผงอกของผมพอดี

       

                  รอยบวมช้ำบริเวณตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนักหน่วงที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงได้เป็นอย่างดีแต่ผมก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน ผมขยับใบหน้าลงไปซุกกับผมยุ่งๆสีเหมือนสายไหมของไมเคิลก่อนจะพยายามแทรกริมฝีปากตัวเองผ่านปอยผมบางๆนั้นเข้าไปสัมผัสกับหน้าผากของคนตัวเล็กกว่า

       

                  “เช้าแล้ว ตื่นได้แล้วนะเราน่ะ” ผมกระซิบออกมาเบาๆ หวังเพียงว่าประโยคที่มีเพียงคำไม่กี่คำนี้จะผ่าทะลวงเข้าไปยังในความฝันของคนๆนี้ได้

       

                  แต่เสียงกรนเบาๆที่ออกมาพร้อมๆกับลมหายใจหนักๆก็ยังไม่ได้หายไป ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเขย่าตัวอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้สึกตัว เปลือกตาบวมๆนั้นปรือขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงงอแงของเจ้าตัว

       

                  “อะไรเล่า ก็ไหนบอกว่าวันนี้มีเรียนเช้าไง” ผมบ่น ก่อนจะค่อยๆดึงแขนออกมาจากศีรษะของอีกฝ่ายแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ลุกได้แล้ว เดี๋ยวก็เข้าสายหรอก”

       

                  “รู้แล้วน่า” เขางึมงำก่อนจะห่อตัวเองด้วยผ้านวมสีขาวแล้วพลิกตัวกลับลงไปนอนตามเดิม

       

                  “อ้าว เฮ้” ผมเลิกคิ้ว พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้หงุดหงิด

       

                  เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังออกมาจากภายใต้ผ้านวมสีขาวทำเอาผมลืมที่จะหงุดหงิดแล้วหัวเราะตามก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนผ้านวมสีขาวที่ห่อตัวของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่ผมพยายามจะแงะตัวเขาออกไปอาบน้ำ

                 

                  แสงแดดที่ผ่านเข้ามาผ่านทางหน้าต่างบานเกล็ดเหนือเตียงนอนสาดส่องเข้ามายังเราทั้งสองคนราวกับสปอร์ตไลท์ รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่โผล่พ้นออกมาภายใต้ผ้านวมทำเอาหัวใจของผมเบิกบานอย่างมีความสุข

       

                  พยายามที่จะสั่งให้ตัวเองเก็บเกี่ยวความสุขจากช่วงเวลานี้เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

       

                  ทำได้เพียงแค่หวังในใจว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้ตลอดไป

       

       


       

       

                  ไมเคิลออกไปเรียนได้สักพักแล้ว ส่วนผมที่วันนี้ไม่มีเรียนจึงยังคงนอนเปื่อยทั้งชุดนอนอยู่บ้านแบบนี้และมันก็อาจจะเป็นแบบนี้ไปทั้งวัน

                 

                  ความเงียบที่ช่วงนี้เข้ามาทักทายผมบ่อยๆเริ่มกลับเข้ามาตามราวีราวกับเจ้าหนี้ประจำวันอีกครั้ง ผมถอดใจที่จะข่มตาลงนอนต่อแม้ว่าในตอนนี้มันเพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าก็ตาม ผมใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเองขึ้นยืนก่อนจะฝืนความขี้เกียจเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาอะไรใส่ท้อง

       

                  ระยะทางสั้นๆไม่ถึงสามเมตรจากเตียงนอนไปถึงห้องครัวปรากฏข้าวของต่างๆที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้กระจัดกระจายออกไปตามทาง นุ่นที่เป็นไส้ของหมอนใบเก่าที่ปริออกจากการถูกขว้างอย่างรุนแรงกลาดเกลื่อนไปตามพื้นห้อง ผมถอนหายใจ เตือนตัวเองว่าอย่าลืมมาเก็บกวาดมันทีหลังก่อนที่ไมเคิลจะกลับมาจากมหาวิทยาลัย

       

                  หรือบางที การไม่เก็บกวาดเลยมันก็อาจจะดีกว่า

       

                  ผมสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป ไม่ว่าใครก็ต้องอยากกลับมาบ้านที่สะอาดๆทั้งนั้น

       

                  เพราะฉะนั้นถ้าบ้านหลังนี้สะอาด ไมเคิลก็ต้องอยากกลับมา

       

                  อย่างน้อยผมก็คิดอย่างนั้น

       

                  ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าฝาตู้เย็น เอื้อมมือออกไปเปิดมันออก แสงไฟสีส้มสว่างวาบออกมาตามช่องที่เปิดกว้างออก อาหารที่เตรียมเผื่อไว้ตั้งแต่เที่ยงของเมื่อวานยังคงอยู่ในสภาพเดิม -- ไม่มีพร่องลงไป ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของการถูกกิน

       

                  ผมหยิบจานที่ซีนพลาสติกใสอย่างดีพวกนั้นออกมาก่อนจะลงมือลอกแผ่นพลาสติกเหล่านั้นออก ลากขาเดินไปเสียบปลั๊กไมโครเวฟที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์ซึ่งอยู่ถัดไปจากตู้เย็นแล้วเริ่มลงมืออุ่นอาหาร ในระหว่างที่รอก็ยืนคิดเมนูที่จะทำกินในตอนเย็นของวันนี้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะกินข้าวที่ไม่เคยปิดเครื่องออกมาก่อนจะกดโทรเบอร์โทรล่าสุด

       

                  ผมถือสายไว้พักใหญ่ ก่อนที่เสียงหวานๆที่ผมคุ้นหูจะดังเข้ามาแทนสัญญาณโทรศัพท์

       

                  [ ลุค? ]

       

                  ผมยิ้มกับโทรศัพท์ “จะโทรมาถามว่าวันนี้ตอนเย็นอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

       

                   [ อืม... สเต็กแซลมอนได้ไหม? ] เขาพูดพึมพำ น้ำเสียงลังเล

       

                  ผมเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอึกอักเล็กน้อย “กินอย่างอื่นแทนไม่ได้หรอ ทำไม่เป็น”

       

                  [ อยากกินอะ ] น้ำเสียงเอาแต่ใจดังตอบกลับมา ทำเอาผมนึกออกเลยว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่

       

                  “อย่าเอาแต่ใจสิ” ผมดุ

       

                  [ แต่ถ้าทำไม่ได้เดี๋ยวฉันไปกินข้างนอกก็ได้นะ ]          

       

                  “ไม่เป็นไรๆ” ผมตอบกลับไปแทบจะในทันที “ทำได้อยู่แล้ว สบายมาก”

       

                  [ โอเค ขอบคุณนะ ] เขาตอบกลับเสียงหวานเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ในที่สุดก็ได้ตุ๊กตาที่อยากได้หลังจากอ้อนขอพ่อกับแม่มานาน

       

                  “อือ แค่นี้แหละ ตั้งใจเรียนนะ” ผมพูด หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะกดวางสาย

       

                  ผมยังคงยิ้มค้างอยู่หน้าจอมือถือพักหนึ่งก่อนที่ไมโครเวฟจะส่งเสียงร้องเตือน ผมสะดุ้ง ก่อนจะวางมือถือในมือกลับลงไปบนโต๊ะกินข้าวตามเดิมแล้วเดินไปเปิดฝาไมโครเวฟออกทั้งๆที่ในหัวตอนนี้คิดถึงแต่เรื่องที่จะทำให้ไมเคิล คลิฟฟอร์ดยิ้มออกมาได้อีกครั้ง

       

                  สิ่งที่จะทำให้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นหวนกลับมามองผมเหมือนอย่างที่มันเคยเป็น

       

       

       

                 

       

                  เพล้ง!

       

                  หยุดนะลุค!’ เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลังจากเศษกระจกที่กดลงไปบนข้อมือเริ่มบาดลึกเข้าไปช้าๆ

       

                  ‘ทำแบบนี้ทำไมเสียงแหบต่ำตอบกลับไป ประโยคคำถามที่ถูกเปล่งออกมาพูดด้วยเสียงที่ฟังดูเจ็บกว่าบาดแผลบริเวณข้อมือเป็นหลายต่อหลายเท่า

       

                  ‘พอได้แล้ว!’

       

                  ‘ไมเคิล นายไม่เข้าใจหรอน้ำเสียงแหบต่ำบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าที่มองจ้องกลับไปเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายที่มาจากภายใน

       

                  ‘ลุค... ขอร้องน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในตอนแรกเริ่มที่จะไหลลงมาตามพวงแก้มใสช้าๆ

       

                  ‘ถ้าฉันหยุดแล้วนายจะทิ้งฉันไปอีกไหม?’

       

                  ‘ลุค...ชายหนุ่มใบหน้าสะสวยสะอื้น เข่าทั้งสองข้างแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น

       

                  ‘หยุดร้องไห้แล้วตอบสิไมเคิล

       

                  เสียงสะอื้นดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง ราวกับว่าบนโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคน

       

                  ‘นายจะทิ้งฉันไปไหม

       

                  หวังเพียงว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่ามันไม่ใช่คำถาม

       

                  แต่มันเป็นการขอร้อง

       

                  ‘...ไม่

       

                  ‘…’

       

                  ‘ฉันจะไม่ทิ้งนาย

       

       

       

       

       

                  ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนโซฟา โอดครวญเพราะหลังที่ปวดช้ำจากการนั่งหลังขดหลังแข็งหาวิธีทำสเต็กให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมรักกิน

       

                  แลปท็อปที่เปิดค้างเอาไว้ดับไปแล้ว ผมเอื้อมมือออกไปพับฝามันลง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังฝั่งตรงข้าม

       

                  เที่ยงคืนสี่สิบเจ็ดนาที

       

                  ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง กลิ่นของสเต็กปลาแซลมอนที่วางทิ้งไว้จนเย็นชืดลอยมาเตะจมูก ผมยกมือขึ้นลูบเปลือกตาตัวเองก่อนจะนวดมันเบาๆ

       

                  ไมเคิลไม่ยอมกลับมากินข้าวเย็นอีกแล้ว

       

                  ผมคว้าโทรศัพท์กดมาโทรหาไมเคิลเป็นรอบที่ร้อยหลังจากที่เริ่มโทรครั้งแรกตอนหกโมงแล้วหลับคาโทรศัพท์ไปตอนสามทุ่ม

       

                  เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดังด้วยอัตราเร็วที่เท่ากับครั้งไหนๆที่โทร แต่สำหรับในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าในการดังแต่ล่ะครั้งนั้นมันกลับใช้เวลายาวนานถึงสองนาที

       

                  แล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างเคย ไมเคิลไม่ยอมรับโทรศัพท์

       

                  เป็นเหมือนคืนที่แล้ว

       

                  แล้วก็เป็นเหมือนคืนที่แล้วๆมา

       

                  ผมบีบโทรศัพท์ในมือแน่นก่อนจะขว้างมันออกไปยังผนังฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง มองมันกระแทกก่อนจะกระจายออกมาเป็นเสี่ยงๆ

       

                  เสียงรถยนต์ที่ดังผ่านเข้ามาทางกระจกบานใหญ่ที่อยู่ติดกับถนนบอกให้ผมเลิกผ้าม่านสีขาวออกแล้วมองออกไปดูไมเคิลกับผู้ชายคนนั้นยืนจูบกัน

                 

                  ไม่ต้องดูผมก็บอกได้

       

                  เสียงแง้มเปิดประตูที่เขาคงพยายามทำให้มันเบาที่สุดดังกระแทกเข้ามาในโสตประสาทของผม ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับไมเคิลที่มองผมกลับมาด้วยดวงตาสีเขียวตื่นๆ

       

                  “นึกว่าฉันหลับไปแล้วใช่ไหม” ผมถาม แปลกใจที่เสียงที่เปล่งออกมาราบเรียบกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้

       

                  “...ลุค” เขานิ่ง ดวงตาสีเขียวมองมาที่ผมอย่างรู้สึกผิด

       

                  อย่างที่ช่วงนี้มันเป็นบ่อยๆ

       

                  แววตาสงสารที่ผมไม่เคยต้องการ

       

                  “สเต็กแซลมอนที่นายไปกินกับเขามาอร่อยไหม”

       

                  ดวงตาสีเขียวคู่นั้นหลบไป ไม่ยอมมองมาที่ผมตรงๆ แต่ผมว่าเขาคิดผิดที่มองไปบนโต๊ะกินข้าวพอดี ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้เขากัดริมฝีปากตัวเองแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าผมทำอะไรไว้ให้

       

                  แต่แล้วจะทำไม ยังไงเขาไม่รู้สึกถึงความพยายามของผมอยู่ดี

       

                  ผมเดินไปหยิบพลาสติกห่ออาหารที่เก็บไว้ในตู้ออกมาก่อนจะลงมือห่อจานสเต็กพวกนั้นเก็บไว้ในตู้เย็น แปลกใจเมื่อเห็นว่าม้วนเทปแทบไม่มีพลาสติกเหลืออยู่เลย

       

                   ผมนิ่ง รอให้เขาพูดคำว่าขอโทษออกมา

       

                  “ขอโทษ” เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่มันเป็นเสมอมา

       

                  “ขอโทษเรื่องอะไร?” ผมถาม ทั้งๆที่ภายในใจนึกคำตอบได้นับไม่ถ้วน

                 

                  ขอโทษที่ไม่ได้กลับมากินสเต็กที่ผมทำเอาไว้ให้

       

                  ขอโทษที่ออกไปกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น

       

                  ขอโทษที่หลอกว่าเขารักผม

       

                  ขอโทษที่เขาไม่ได้รักผมแล้ว

       

                  แต่เขาเงียบ ผมนิ่ง เราไม่ได้พูดอะไร เราไม่ได้ตะโกนใส่กัน ไม่ได้ปาข้าวของใส่กันอย่างที่เคยทำ

       

                  “ไมเคิล” ผมกลืนน้ำลาย หลับตายอมรับคำตอบที่จะตามมา “นายยังรักฉันอยู่บ้างไหม”       

                  เขาสะอึก ราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตาสีเขียวหันกลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

                 

                  แต่น้ำตาของเขาที่เอ่อขึ้นมาตอบคำถามทุกอย่างที่ผมเคยตั้งเอาไว้

       

                  ผมเอื้อมแขนออกไปจนสุด คว้าตัวของเขาเข้ามากอดเอาไว้ให้แน่น พยายามบังคับไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองหลุดออกมา กดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากของเขา พร่ำบอกเขาว่าไม่เป็นไร

       

                  เหมือนกับที่ผมบอกตัวเองทุกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน

       

                  “ทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหม” ผมกระซิบถาม หัวใจบีบตัวแน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าเขาส่ายหน้าเบาๆอยู่ภายใต้อ้อมแขนของผม

       

                  เคยคิดว่าถ้าผมพยายามหนักกว่านี้ เขาจะกลับมาหาผมอีกครั้ง

       

                  ถ้าผมพยายามมากกว่านี้ บางทีผมอาจจะเปลี่ยนใจเขาได้

                 

                  “ขอโทษ”

       

                  “...”

       

                  “ขอโทษ”

       

                  “ลุค...”

       

                  “ขอโทษ”

       

                  “...ฮึก”

                 

                  มันคงได้เวลาที่ผมควรจะปล่อยเขาได้แล้ว

       

                  ผมผละตัวออกช้าๆ มองไปยังคนตรงหน้าตัวเอง คนที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ได้โดยไม่มีเขา คนที่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถรักใครได้เท่าเขาอีก

       

                  แต่เขาจะอยู่ได้ดีกว่านี้ถ้าไม่มีผม

       

                  เขากำลังร้องไห้ ขอบตาสีแดงช้ำรื้นไปด้วยน้ำตา

       

                  “ห่างกันสักพักดีไหม” ผมกระซิบเสียงแผ่ว

       

                  เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

       

                  และผมก็ไม่คิดจะพูดอะไรไปมากกว่านี้อีก

       

                  อาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของประโยคคำถามนั้นคืออะไร

       

                  ผมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือออกไปเพื่อลูบผมของคนตัวเล็กกว่า

       

                  เราทั้งสองคนต่างก็รู้ดีว่าผมไม่มีทางจะได้เห็นหน้าเขาอีก

       

                  ความหมายของสิ่งที่ผมพูด

       

                  คือคำว่าลาก่อน

       








       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×